ยุคสามก๊ก
เป็นชื่อเรียกช่วงระยะเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน
เกิดขึ้นในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ที่แผ่นดินจีนเกิดความขัดแย้งและแตกแยกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ จำนวนมาก
โดยมีแคว้นที่ใหญ่สุดสามแคว้นได้แก่ แคว้นวุย ปกครองโดยพระเจ้าโจผี แคว้นง่อ
ปกครองโดยพระเจ้าซุนกวน และแคว้นจ๊ก ปกครองโดยพระเจ้าเล่าปี่ด้วยความเป็นแคว้นใหญ่
มีกำลังทหารและไพร่พลเป็นจำนวนมากและคานอำนาจซึ่งกันและกัน
ทำให้ทั้งสามแคว้นต่างเปิดศึกสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่มาตลอดระยะเวลาประมาณ 72 ปี
โดยมี ลกเอี๋ยงหรือเมืองลั่วหยางในปัจจุบัน
ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตการปกครองของแคว้นวุยเป็นเมืองหลวง และจุดศูนย์กลางของอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น
จนกระทั่งเกิดการแย่งชิงราชบัลลังก์จากราชวงศ์วุยโดย สุมาเอี๋ยน
และทำการรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ
ให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ก่อนสถาปนาราชวงศ์จิ้นขึ้นมาเป็นราชวงศ์ใหม่ใน
พ.ศ. 823 ทำให้ยุคสามก๊กที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานสิ้นสุดลงอย่างบริบูรณ์
ราชวงศ์จิ้น
ซือหม่าเอี๋ยน
(สุมาเอี๋ยน) ประกาศตั้ง ราชวงศ์จิ้นตะวันตก
ขึ้นแทนที่ราชวงศ์วุ่ยของเฉาเชาหรือโจโฉ เมื่อถึงปี 280
จิ้นตะวันตกปราบก๊กอู๋ลงได้ สภาพการแบ่งแยกอำนาจของสามก๊กก็สลายตัวไป
ทั้งแผ่นดินจีนรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เกิดความสันติสุขขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งราชวงศ์จิ้นตะวันตกเป็นยุคสมัยที่กลุ่มตระกูลใหญ่ก้าวเข้ามาเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างสูง
เนื่องจากนโยบายการปกครองของซือหม่าเอี๋ยนหรือ จิ้นอู่ตี้ โน้มเอียงไปในทางเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตระกูลชนชั้นสูง
อีกทั้งกฎหมายยังให้สิทธิพิเศษต่อขุนนางเจ้าที่ดิน
ในการจัดสรรการถือครองที่ดินและผลประโยชน์อื่น ๆ
โดยอ้างอิงจากระดับชั้นตำแหน่งขุนนาง
ระเบียบเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องมือการเพาะสร้างอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับกลุ่มตระกูลใหญ่เหล่านี้
ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นในสังคมครั้งใหญ่ เพราะเพื่อรักษาสิทธิพิเศษนี้
ถึงกับตั้งข้อรังเกียจไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะหรือแต่งงานข้ามสายเลือดกับตระกูลที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษ
ทำให้ผู้อยู่นอกวงถึงแม้จะได้เข้ารับราชการก็จะยังคงถูกมองอย่างแปลกแยกและกีดกันไม่ให้ได้รับการเลื่อนขั้นในตำแหน่งสูงขึ้นขณะที่ขุมกำลังจากตระกูลใหญ่เหล่านี้เติบโตขึ้น
ข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทว่าอำนาจการปกครองจากส่วนกลางกลับอ่อนแอลง เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในเวลาต่อมา
ในยุคสมัยนี้ บ้านเมืองเสื่อมโทรม กลุ่มผู้มีอำนาจใช้ชีวิตอย่างความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันและคดโกง ขณะที่คนจนถูกเรียกเก็บภาษีแพงลิบลิ่ว
เหล่าปัญญาชนที่เกิดมาท่ามกลางยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้ ต่างท้อแท้สิ้นหวัง
พากันหลีกหนีความเป็นจริง ไม่ถามไถ่ปัญหาบ้านเมือง ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุราและพูดคุยเรื่องราวไร้สาระ
หรือเสนอแนวคิดเชิงดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นในสังคม เป็นต้นดังนั้น
ศาสตร์ในการทำนายทายทักและแนวคิดเชิงอภิปรัชญา จึงเป็นที่นิยมอย่างสูงขณะเดียวกัน
การแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในราชสำนักก็ทวีความเข้มข้นขึ้น อำนาจในการปกครองของฝ่ายราชสำนักตกอยู่ในภาวะวิกฤตจิ้นอู่ตี้
เนื่องจากได้รับบทเรียนจากราชวงศ์วุ่ยที่ไม่ได้จัดสรรอำนาจให้เชื้อพระวงศ์เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นซึ่งอยู่ในตระกูลอื่นเข้าฉกฉวยอำนาจได้โดยง่าย
ดังนั้น เพื่อรักษาพระราชอำนาจของตนไว้ จึงทรงอวยยศเหล่าเชื้อพระวงศ์ขึ้นเป็นอ๋อง
ให้อำนาจในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางทหารของกลุ่มอำนาจภายนอก
ทำให้เชื้อพระวงศ์เหล่านี้สามารถบัญชาการกำลังทหารจำนวนไม่น้อย
เมื่อถึงสมัยของจิ้นฮุ่ยตี้
การอวยยศซึ่งแต่เดิมมีจุดมุ่งหมายเพื่ออารักขาฐานอำนาจของราชสำนัก
กลับเป็นบ่อเกิดของข้อขัดแย้งในการแบ่งลำดับขั้นการบริหาร
ทำให้ภายในราชสำนักเกิดการแย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่
บรรดาอ๋องพระราชทานต่างก็ถูกม้วนเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 291
เป็นต้นมา เมืองลั่วหยาง ได้เกิดเหตุจลาจล ‘8 อ๋องชิงบัลลังก์’ อ๋องทั้ง 8 ได้แก่ อ๋องเลี่ยง
อ๋องเหว่ย อ๋องหลุน อ๋องจ่ง อ๋องหยิ่ง อ๋องอี้ อ๋องหยงและอ๋องเย่ว์
ต่างยกกำลังเข้าห้ำหั่นกันเกิดเป็นสงครามภายในขึ้น
เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้กินเวลาถึง 16 ปี
ทหารและพลเรือนลัมตายนับแสน หลายเมืองถูกทำลายล้างยับเยิน
เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นตะวันตกที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีผลสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจมากนักอยู่แล้ว
กลับยิ่งต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างสาหัส สุดท้ายจิ้นฮุ่ยตี้ถูกวางยาสิ้นพระชนม์
บรรดาอ๋องต่างฆ่าฟันกันจนสิ้นเรี่ยวแรงนับแต่สมัยฮั่นตะวันออกเป็นต้นมา
ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในในแถบชายแดนภาคตะวันตกและภาคเหนือก็ได้ทยอยอพยพเข้าสู่แผ่นดินจีน
เมื่อถึงปลายราชวงศ์วุ่ยและจิ้น
เนื่องจากเกิดภาวะแรงงานขาดแคลนจึงมักมีการกวาดต้อนชนกลุ่มน้อยจำนวนมากเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศ
ชนเผ่าต่างๆ เมื่อเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว จึงได้รับอิทธิพลจากชาวฮั่น
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แต่เดิมเป็นปศุสัตว์เร่ร่อน หันมาทำไร่ไถนา
บ้างก็ได้รับการศึกษา เข้ารับราชการ เป็นต้น
ต่อมาเนื่องจากได้รับการบีบคั้นจากการปกครองของเจ้าที่ดินชาวฮั่น
และการรีดเก็บภาษีขั้นสูง ทำให้ความสัมพันธ์ทวีความตึงเครียดมากขึ้น จนในที่สุด
พากันลุกขึ้นก่อหวอดต่อต้านการปกครองจากส่วนกลาง โดยกลุ่มที่เริ่มทำการก่อนได้แก่กลุ่มขุนศึกของชนเผ่าต่างๆในช่วงปลายของจลาจล
‘8
อ๋องชิงบัลลังก์’ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้นำของแต่ละกลุ่มต่างทยอยกันเสียชีวิตในการศึก
หัวหน้าของชนเผ่าซงหนูหลิวหยวน ก็ประกาศตั้งตัวเป็นอิสระ โดยใช้ชื่อว่าฮั่นกว๋อ
ภายหลังหลิวหยวนสิ้นชีพลง บุครชายชื่อหลิวชง
ยกกำลังเข้าบุกลั่วหยางนครหลวงของจิ้นตะวันตก จับจิ้นหวยตี้
เป็นตัวประกันและสำเร็จโทษในเวลาต่อมา
โดยเชื้อพระวงศ์ทางนครฉางอันเมื่อทราบเรื่องก็ปราศยกให้จิ้นหมิ่นตี้
ขึ้นครองบัลลังก์สืบทอดราชวงศ์จิ้นต่อไปทันที ประชาชนที่หวาดเกรงภัยจากสงครามทางภาคเหนือ
ต่างพากันอพยพลงใต้จวบถึงปี 316
กองกำลังของชนเผ่าซ่งหนูบุกเข้านครฉางอันเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
จับกุมจิ้นหมิ่นตี้ เพื่อรับโทษทัณฑ์
จิ้นตะวันตกจึงถึงกาลล่มสลายราชวงศ์จิ้นตะวันตกอยู่ในอำนาจรวม 51 ปี
มีกษัตริย์เพียง 4 พระองค์ และเป็นราชวงศ์เดียวในยุคสมัยวุ่ยจิ้นเหนือใต้
(คริสต์ศักราช 220 – 589) ที่มีการปกครองแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น